ระหว่างทางเดินไปวัดเงิน Ginkakuji Temple

เกียวโตประเทศญี่ปุ่นเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีวัดดังมากมายที่น่าสนใจและอีกหนึ่งวัดดังที่แนะนำว่าควรไป โดยเฉพาะในช่วงดอกซากุระบานแล้วล่ะก็ต้องไปที่ วัดกินคะคุจิ (Ginkakuji Temple) หรือ วัดเงิน นั่นเองเพราะวัดแห่งนี้นอกจากมีชื่อเสียงในด้านแบบฉบับวัดดั้งเดิมแบบญี่ปุ่นโบราณที่สวยงามแล้ว ระหว่างการเดินทางไปยังวัดเงิน ในละแวกใกล้เคียงกันนั้นก็ยังมีทางเดินแห่งนักปราชญ์หรือบางคนก็เรียกว่าทางเดินแห่งซากุระรอบๆด้วย

ซึ่งทางเดินแห่งนักปราชญ์นี้มีคนบอกว่าเป็นแหล่งที่รวมต้นซากุระไว้กว่าร้อยต้น ดังนั้นถือว่าเป็นอีกจุกไฮไลท์สำคัญสำหรับการมาเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงเดือนแห่งซากุระบานด้วย โดยจะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากมาเที่ยวชมดอกไม้ ถ่ายรูป ณ ที่สถานที่แห่งนี้ เหมือนได้เดินทางมายังจุดเดียวแต่ได้เที่ยวถึงสองต่อ อย่างไรก็ตามนอกจาก วัดเงิน ดอกซากุระที่สวยงาม นักท่องเที่ยวมาเก็บภาพโดยรอบแล้ว รอบๆพื้นที่ก็ยังมีร้านค้า ของที่ระลึก ร้านขนม ชาเขียว เสื้อผ้าแบบชาวญี่ปุ่นพื้นเมืองด้วย ถ้าใครมาเที่ยวก็ถือว่าเดินชมเพลินตาสบายใจ และมีความสุขกับบรรยากาศสไตล์ญี่ปุ่น ดังนั้นใครมีแผนไปเกียวโตลองจดวัดเงินเป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวไว้ในแผนเที่ยวญี่ปุ่นก็ได้นะ

สถานที่: วัดกินคะคุจิ (Ginkakuji Temple) หรือ วัดเงิน

วิธีเดินทาง:เดิน 30 นาที จาก Demachiyanagi Station สาย Keihan Railway  หรือ นั่งรถบัสสาย 100 มาลงที่ สถานีรถบัสป้าย Ginkakuji-mae แล้วเดินจากป้ายไป 5 นาที

เวลาเปิด-ปิด:

  • 30 น. – 17.00 น. (มีนาคม-พฤศจิกายน)
  • 00 น. – 16.00 น. (ธันวาคม-กุมภาพันธ์)

ค่าเข้าชม : 500 เยน

เบอร์ติดต่อ : +81 75-771-5725

เดินเที่ยว ชมร้านย่าน St Kilda Beach @Australia

อย่างที่ทราบกันดีว่า St Kilda Beach เป็นชายหาดที่มีชื่อเสียงระดับหนึ่งของเมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ดังนั้นจึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศมาพักผ่อนท่องเที่ยวทะเลกันถึงที่นี่ และแน่นอนว่าถ้าหากที่ใดเป็นแหล่งที่ท่องเที่ยว ก็จะต้องมีร้านค้า ร้านอาหาร แหล่งซื้อของอยู่ใกล้ย่านนั้นเป็นธรรมดา ซึ่งที่ St Kilda Beach ก็เช่นกัน เมื่อนักท่องเที่ยวเดินเหนื่อยๆจากทะเล ก็มักจะมองหาร้านอาหาร ร้านขนมหวานรับประทานกัน

โดยร้านขนมหวานชื่อดังในย่าน St Kilda Beach ก็คือร้านเค้กนั่นเอง มีคนเคยพูดว่าถ้ามาทะเลที่นี่ก็ต้องมากินเค้กที่ร้าน Acland Cakes ด้วย เพราะร้านเค้กแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นร้านเค้กระดับตำนาน รสชาติอร่อย ดั้งเดิม ทำให้ร้าน Acland Cakes เป็นร้านเค้กที่มีชื่อเสียงมากในหมู่นักท่องเที่ยว และในละแวกเดียวกันก็ยังร้านอาหารนานาชาติให้บริการนักท่องเที่ยวอีกจำนวนมาก ที่มีทั้งอาหารญี่ปุ่น อิตาเลียน จีน ฝรั่ง เกาหลี และอเมริกัน เป็นต้น เรียกได้ว่าถ้าใครมาเที่ยวที่ St Kilda Beach ก็แวะมาฝากท้องกันได้ ยิ่งเดินเหนื่อยๆ หิวๆ ร้านอาหารที่นี่เพียงพอแน่ๆสำหรับนักท่องเที่ยว มีให้กินทั้งอาหารหวานอาหารคาว ใครไปเที่ยวก็ลองแวะไปเดินเล่นและรับประทานอาหารกันได้

สถานที่: St Kilda Beach
ที่อยู่ : St Kilda, Port Phillip, Victoria, Australia

วิธีเดินทาง : สามารถนั่ง Tram สาย 16 จาก Swanston Street, สาย 96 จาก Bourke Street, สาย 12 จาก from Collins Street ถึง St Kilda
Website: http://stkildamelbourne.com.au/

ส่องบรรยากาศ Docklands ยามเย็น ที่ออสเตรเลีย

สำหรับใครที่ชอบบรรยากาศสุดชิว สบายๆ เดินเล่นยามเย็นใน Melbourne นอกจากตามชายหาดริมทะเลแล้ว ยังมีอีกหนึ่งสถานที่น่าสนใจ ไปลองเดินเล่นกันได้ นั่นก็คือ ย่าน Docklands โดยย่านนี้เป็นลักษณะคล้ายท่าเรือ ท้องทะเลกลางเมือง และสะพานที่ออกแบบแปลกตาสวยงาม ระหว่างเดินเล่นนั้นนอกจากเราจะได้สัมผัสบรรยากาศแสนสบายแล้วยังดื่มด่ำกับวิวทิวทัศน์ของท่าเรือเรือไปด้วย ไปชมภาพกัน

เที่ยว Sovereign Hill “Winter Wonderlights” ที่ Ballarat @Australia ตอนเย็น

มาต่อกันจากบทความที่แล้วได้เดินเที่ยวเหมืองทองคำในช่วงตอนกลางวันที่ Sovereign Hill เขต Ballarat เมือง Melbourne ประเทศออสเตรเลีย บทความนี้ก็ยังอยู่สถานที่เดิมไม่หนีไปไหนแต่เพิ่มเติมคืองานในช่วงเย็นจ้า เนื่องด้วยเดือนกรกฎาคมที่ออสเตรเลียจะเป็นฤดูหนาว อากาศแบบหนาวมากๆ ทำให้ฟ้ามืดเร็ว ประมาณ 5 โมงเย็นก็มืดแล้ว ดังนั้นงาน Winter Wonderlights ที่ Sovereign Hill จึงเริ่มขึ้น ช่วงเวลานี้ เป็นช่วงเวลาที่คนเยอะมากที่สุด

ถึงแม้งานช่วงเย็นจะมีแค่ 1 ชั่วโมง แต่เป็นเวลา 1 ชั่วโมงที่อัศจรรย์มากๆ ไปเองยัง ขนลุกเองเลย นี่แหล่ะชั่วโมงต้องมนต์ของจริง ด้วยความที่อากาศหนาวทุกคนจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอบอุ่น ธีมวัน Christmas หมวก เสื้อกันหนาว ผ้าพันคอจัดเต็ม ในขณะที่ทางสถานที่ก็จะมีการเดินขบวนพาเหรด สวนมนต์ร้องเพลงแบบชาวคริสต์ คาทอลิก ในรอบสุดท้าย ก่อนจะมีการเปิดเสียงเพลงดนตรี เล่านิทาน ผ่านภาพเคลื่อนไหวแสงไฟบนกำแพง ปล่องไฟ และตามบ้านหลังต่างๆในถนนเส้นหลักจะมีแสงไปสวยงามเคลื่อนไหวตลอดเวลา

นักท่องเที่ยวต่างรัวชัตเตอร์ กันไม่หยุด เพราะพลาดไม่ได้เลย ทุกช็อตของภาพ สี เสียง แสงไฟ มีเรื่องราว การเล่าเรื่องที่น่าสนใจ นอกจากนี้ ระหว่างการเดินในท่ามกลางฝูงชนที่แน่นในถนน ก็มีการโปรยปลายหิมะที่ผลิตขึ้นมาก คล้ายๆแบบฟองสบู่ พูดได้เลยว่ามันสวยมากจริงๆ เหมือนอยู่ในความฝันโลกสวยงาม ตระการตา อลังการงานสร้างมากๆ ถึงแม้จะเล่า หรือถ่ายภาพมาก็ไม่เท่ากับไปด้วยตัวเองบอกเลย แต่ถึงอย่างไงก็เก็บภาพมาฝากทุกคนนะ

สำหรับ งาน Winter Wonderlights เป็นงานที่จัดในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ Ballarat อย่างที่บอกไปในบทความที่แล้ว หลายคนมักจะเรียกงานนี้ว่า Christmas in July เนื่องจากเมื่อคุณก้าวเข้าไปใน Sovereign Hill ในเดือนกรกฎาคม ที่เป็นเหมือนเมืองจำลองที่มีหมู่บ้าน เหมืองทองคำ โบสถ์ วัด ร้านอาหาร โรงเรียน ธนาคาร แหล่งขายของเก่า ทุกอย่างจะมีธีมเป็นเหมือนกำลังอยู่ในเทศกาล Christmas โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเย็นจะมีผู้คนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบบชาวอังกฤษย้อนยุค มาเดินภายในงานท่ามกลางแสงไฟ หิมะ เสียงดนตรี มีซุ้มให้เด็กๆได้แสดงออก เหมือนในงานวัน Christmas จริงๆ ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจไปว่า ทำไมงานนี้ทุกคนถึงให้ชื่อว่า Christmas in July ถ้าใครได้มีโอกาสไปเที่ยวรับรองว่าประทับใจแน่ๆ ถือว่าคุ้มมากที่ได้เที่ยวจนจบงาน เพราะเค้าจัดงานได้สวยงามมากจริงๆ ถือว่าเป็นวันมหัศจรรย์

สถานที่: Sovereign Hill / Winter Wonderlights/ Christmas in July

เบอร์ติดต่อ: +61 3 5337 1199
ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 59.50 AUD , นักเรียนนักศึกษา $47.60 AUD
Website: http://winterwonderlights.com.au/

ห้องสมุดรัฐวิคตอเรีย @เมลเบิร์น

สถานที่ถ่ายรูปสวยๆ แนวๆ อีกที่ในเมลเบิร์นประเทศออสเตรเลีย ก็หนีไม่พ้น ห้องสมุดรัฐวิคตอเรีย หรือ State Library of Victoria เป็นสถานที่ขึ้นชื่อและสำคัญของเมืองเมลเบิร์นอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งห้องสมุดรัฐวิคตอเรียแห่งนี้ภายในนั้นเงียบสงบ และมีการออกแบบที่นั่งได้ดูสวยงามและแปลกตาไปกว่าห้องสมุดทั่วๆไป นักท่องเที่ยวมักจะเดินทางมายังห้องสมุดแห่งนี้เพื่อมาเก็บภาพความอลังการงานสร้างของห้องสมุดรัฐวิคตอเรีย

โดยนอกจากภายในจะมีความสวยงามแล้วนั้นยังมีเรื่องราวศิลปะ และข้อมูลด้านประวัติศาสตร์ให้ความรู้แก่ผู้มาเยือน โดยภาพที่เราจะได้เห็นกันต่อไปนี้นั้นเป็นภาพรวมโดยกว้างของห้องสมุดรัฐวิคตอเรีย แต่ถ้าเรามองลงไปยังจุดเล็กๆแต่ละโต๊ะก็จะเห็นผู้คนมาใช้บริการสถานที่ดังกล่าวเพื่ออ่านหนังสือและทำงาน ถ้าใครไปเมลเบิร์น ก็อย่าลืมแวะไปชมกันได้ เพราะเข้าฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย สำหรับสถานที่นั้นดูรายละเอียดได้เลยด้านล่าง

สถานที่ : State Library of Victoria ห้องสมุดรัฐวิคตอเรีย (เมลเบิร์น, ออสเตรเลีย)
ที่อยู่ : 328 Swanston St, Melbourne VIC 3000, Australia

เบอร์ติดต่อ : +61 3 8664 7000

Street Art ขึ้นชื่อ @Melbourne

Melbourne นอกจากจะขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกถึง 7 ปีซ้อนแล้วนั้น Melbourne ยังมีชื่อเสียงในอีกแง่มุมก็คือ เมืองแห่งศิลปะ นั่นเอง ถ้าใครที่ได้ไปเยือน Melbourne ประเทศออสเตรเลียแล้วจะพบเห็น รูปปั้น งานศิลป์ และพิพิธพันธ์ศิลปะอยู่เต็มเมืองและหลายจุด ใน Melbourne

โดยเฉพาะอย่างยิ่งแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของ Melbourne อีกแห่งหนึ่งก็คือ Melbourne Street Art นี่เอง เชื่อว่านักท่องเที่ยวเกือบทั้งหมด ที่ไปเที่ยว Melbourne จะต้องแวะไปเดินชมและเก็บภาพที่ Melbourne Street Art อย่างแน่นอน เพราะถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุด Landmark เนื่องด้วยการเดินทางที่ไม่ยากลำบาก

แล้วจุดเยี่ยมชมแห่งนี้ก็อยู่ใจกลางเมือง ดังนั้นจึงเป็นแหล่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชม และไม่ใช่เพียงแค่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเท่านั้น แต่ยังมีกลุ่มนักเรียนนักศึกษาในหลายๆสถาบันนิยมพากันมาทัศนะศึกษาที่ ถนนแห่งศิลปะแห่งนี้ สำหรับงานศิลป์ที่มีการ เพ้นท์ วาด ระบาย ลงบนกำแพง พื้นถนน หรือแม้แต่ถังขยะบริเวณใกล้เคียง ก็มีความสวยงามโดดเด่น น่าค้นหาเป็นที่สุด ถ้าใครมีโอกาสได้ไปก็แวะไปชมกันได้

สถานที่ : Melbourne Street Art
ที่อยู่ : Harbour Town, 20 Wharf St, Docklands VIC 3008, Australia
Website: http://melbournestreettours.com/

ศาลเจ้าเทพเจ้าจิ้งจอก (Fushimi Inari Shrine) ยามค่ำคืนที่ญี่ปุ่น

ใครที่ไปเที่ยวเกียวโตแล้วส่วนใหญ่จะต้องแวะไปศาลเจ้าเทพเจ้าจิ้งจอก (Fushimi Inari Shrine)ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังที่นักท่องเที่ยวทุกรายต้องไปเยือน ไปเดินเยี่ยมชมและถ่ายรูปกับเสาสีแดงเรียงรายขึ้นไปภูเขา และเชื่อว่าภาพถ่ายคนที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นหลายคนจะต้องมีถ่ายรูปคู่กับเสาสีแดงแน่นอน สำหรับศาลเจ้าเทพเจ้าจิ้งจอกอินาริ Fushimi Inari Shrine นั้นตั้งอยู่ ใกล้กับสถานีรถไฟ Fushimi Inari เดินทางง่ายสะดวก และที่สำคัญคือเข้าชมฟรี

งานนี้เราเลยแวะไปเที่ยวบ้างแต่ขอแหวกแนวไปยามค่ำคืนแทน แล้วก็ได้ภาพศาลเจ้าเทพเจ้าจิ้งจอกอินาริ ตอนกลางคืนที่ดูขลังไปอีกแบบและเชื่อไหมว่าไม่ใช่แค่เราเท่านั้นไปเยี่ยมชมในยามค่ำคืน แต่ก็ยังมีนักท่องเที่ยวหลายกลุ่มเลือกจะไปถ่ายรูปตอนกลางคืนเช่นเดียวกัน ถ้าใครสนใจก็ไปกันได้ตามรายละเอียดด้านล่างเช่นเดิม แต่ใครจะไปตอนกลางวันหรือกลางคืนก็ได้รูปสวยต่างกันออกไป
การเดินทาง : ศาลเจ้าจิ้งจอกแดงอยู่ด้านหน้าสถานี JR Inari ในสาย JR Nara Line หรือจะเดินจากสถานีรถไฟ Fushimi Inari ของสาย Keihan Main Line ก็ได้เหมือนกัน

Website: http://inari.jp/
ค่าเข้าชม: ฟรี

“ไอศกรีมที่เป็นมากกว่าไอศกรีม” เค้าว่างั้น

สมัยนี้ไอเดียเป็นสิ่งสำคัญ เพราะไอเดียจะทำให้มาซึ่งความแตกต่างและสร้างสรรค์ อย่างเช่น ไอศครีมของร้านนี้ เจ้าของร้านน่าจะเป็นคนมีไอเดียที่เก๋บวกกับรักในไอศกรีมและการ์ตูนต่างๆ ทำให้เค้าได้สร้างสรรค์ไอศครีมที่มีรูปร่างหน้าตาน่าสนใจ ดึงดูดผู้บริโภคไม่ใช่แค่เด็กเล็กๆที่สนใจ แต่ผู้ใหญ่อย่างเรายังชอบเลย ด้วยไอเดียและแนวคิดของเค้าที่บอกว่า “ไอศกรีมที่เป็นมากกว่าไอศกรีม” นี้ทำให้ลูกค้าหลายคนสนใจ เพราะนอกจากจะได้กินไอศกรีม แสนอร่อยแล้วยังได้ถ่ายรูปกับไอศครีม ลายการ์ตูนน่ารักๆ เช่น เฟอร์บี้ ,มินเนี่ยน, ตุ๊กตาหมีลายต่างๆ นอกจากนี้ยังสามารถซื้อเป็นของขวัญไปฝากคนที่เรารักได้อีกด้วย

แอบส่อง Vertigo TOO (เวอร์ติโก้ ทู)

Vertigo TOO เป็นร้านอาหารสไตล์รูฟท็อปบาร์ที่ตั้งอยู่ชั้น 60 ของโรงแรมบันยันทรี กรุงเทพฯ ซึ่งภายในร้านนั้นมีการตกแต่งที่สวยงามแปลกตากว่าที่ไหนๆ เพียงแค่คุณเดินเข้าไปที่ร้านคุณก็จะรู้สึกเหมือนอยู่บนท้องฟ้า เนื่องจากการออกแบบและตกแต่งของเค้ามีการะประดับด้วยดวงไฟที่คล้ายๆ ดาวบนท้องฟ้า มีหน้าต่างและที่นั่งติดขอบกระจกใสมองเห็นวิวใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร ส่วนโซนตรงกลางร้านก็จะมีดนตรีสดแล้วแต่ตารางแต่ละวัน
สำหรับใครที่มองหาสถานที่จัดปาร์ตี้วันเกิด งานครบรอบต่างๆ หรือแม้แต่การดินเนอร์ขอแต่งงานแล้วล่ะก็ที่นี่อาจจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกของคุณได้ ลองดูเราทิ้งลายแทงให้คุณแล้วด้านล่าง
เปิดทำการ : วันจันทร์ – วันศุกร์: 18:00 น. – 01:00 น. วันเสาร์ – วันอาทิตย์: 13:00 น. – 16:00 น. และ 18:00 น. – 01:00น.
ที่อยู่ : 21/100 ถนนสาทรใต้ กรุงเทพฯ 10120
โทร : 02 679 1200
Website : http://www.banyantree.com/en/thailand/bangkok/dining/vertigo-too

Proudly powered by WordPress | Theme: Baskerville 2 by Anders Noren.

Up ↑